144 ชั่วโมงกับประสบการณ์ชิมลางด้านการท่องเที่ยว
ในปีนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งประเทศจีนออกประกาศว่ารัฐบาลจีนได้ทำการเพิ่มด่านศุลกากร3 แห่งณท่าอากาศยานนานาชาติซินเจิ้งเมืองเจิ้งโจวท่าอากาศยานนานาชาติซานอี้เมืองลี่เจียงและสถานีรถไฟบ่อหานเป็นพื้นที่ดำเนินนโยบายงดเว้นวีซ่าผ่านแดนเป็นระยะเวลา144 ชั่วโมงประกาศนี้ส่งผลให้ด่านศุลกากรที่บังคับใช้นโยบายดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น37 แห่งนอกจากนี้ตั้งแต่ปีที่แล้วจีนได้ดำเนินนโยบายงดเว้นวีซ่าให้แก่ประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็น15 ประเทศเช่นฝรั่งเศสเยอรมนีออสเตรเลียฯลฯซึ่งดำเนินนโยบายงดเว้นวีซ่าฝ่ายเดียวและอีก7 ประเทศเช่นไทยสิงคโปร์ฯลฯที่ดำเนินนโยบายงดเว้นวีซ่าร่วมกันทั้งสองฝ่าย
เมื่อขอบเขตการงดเว้นวีซ่าของจีนขยายวงกว้างขึ้นคอนเทนต์วิดีโอต่างๆที่แสดงถึงการเรียนรู้วัฒนธรรมจีนการเช็คอินตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆการชิมอาหารจีนจากมิตรสหายต่างแดนที่เรียกกันว่าChina Travel จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดตามแพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งของจีนและต่างประเทศ
ไม่นานมานี้นักท่องเที่ยวหนุ่มนามอเล็กซ์จากสหราชอาณาจักรได้โดยสารเครื่องบินมาลงที่สนามบินต้าซิงกรุงปักกิ่งเขาวางแผนว่าจะเดินทางต่อไปยังเขตปกครองพิเศษฮ่องกงเพื่อร่วมงานแต่งงานของเพื่อนนี่คือประสบการณ์เที่ยวจีนครั้งแรกของอเล็กซ์เขาเลือกที่จะใช้บริการฟรีวีซ่า144 ชั่วโมงเพราะระยะเวลาเหมาะสมกับแผนการท่องเที่ยวห้าวันพอดี“ปกติผมไม่ค่อยได้มีโอกาสเดินทางไปอีกซีกโลกนึงสักเท่าไหร่ผมเลยคิดว่าไหนๆก็มาแล้วถ้าได้ไปเที่ยวพระราชวังต้องห้ามกับกำแพงเมืองจีนก็คงสนุกดี” เขากล่าวเสริมว่าเนื่องจากการใช้สิทธิ์ฟรีวีซ่านี้จะยื่นเรื่องหลังจากเครื่องบินมาถึงที่หมายแล้วเท่านั้นก่อนออกเดินทางเขาจึงตื่นเต้นและเป็นกังวลไม่น้อยเมื่อมาถึงจุดยื่นคำร้องขอฟรีวีซ่า144 ชั่วโมงในสนามบินต้าซิงซึ่งตั้งแยกออกมาต่างหากอเล็กซ์ก็ทำการกรอกบัตรขาเข้าสำหรับชาวต่างชาติก่อนจะเดินไปที่ช่องตรวจเอกสารและแล้วเขาก็ได้รับการอนุมัติให้ผ่านแดนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า
“นโยบายฟรีวีซ่าประกอบไปด้วยเงื่อนไข4 ประการได้แก่ถือพาสปอร์ตที่ยังไม่หมดอายุมีตั๋วเครื่องบินเดินทางไปยังประเทศ(หรือภูมิภาค) ที่สาม(ห้ามเปลี่ยนเครื่องในประเทศจีน) บัตรขาเข้าที่กรอกเรียบร้อยและต้องปฏิบัติตามกฎเกี่ยวกับพื้นที่แวะพักอย่างเคร่งครัด” ปลายเดือนมิถุนายนโกจุนโฮนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ที่เพิ่งได้ทดลองใช้บริการฟรีวีซ่า144 ชั่วโมงได้โพสแชร์ประสบการณ์ของตนลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก
เนื่องจากชีวิตกำลังยุ่งกับการทำงานและการสอบโกจุนโฮจึงยื่นขอวีซ่าไม่ทันซึ่งนั่นทำให้เขาตัดสินใจที่จะแวะมาท่องเที่ยวในนครเซี่ยงไฮ้คั่นกลางระหว่างเส้นทางจากเอดินเบอระไปยังกรุงโซล“ระยะเวลาหกวันกับการสำรวจเมืองสองแห่งถือว่าเพียงพอนะครับผมรู้สึกว่าเวลาวูบหายไปอย่างรวดเร็วแฮปปี้มากจนไม่อยากออกจากที่นี่เลย” เขาจัดแจงโหลดซอฟต์แวร์อินเตอร์เน็ตของจีนเอาไว้ก่อนจากนั้นก็ท่องเที่ยวเช็คอินหลากหลายแห่งเช่นวัดจิ้งอานเดอะบันด์ทะเลสาบซีหูวัดหลิงอิ่นฯลฯนอกจากนี้ยังได้ไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารหั่วเซาอวิ๋นอันโด่งดังจนชาวเน็ตต่างชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นแผนการท่องเที่ยวที่ยอดเยี่ยมมาก
เมื่อได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ทุกภาคส่วนในจีนตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐไปจนภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวต่างพยายามขบคิดหา“ทริก” เด็ดๆมามัดใจให้คนกลุ่มนี้หลงรักประเทศจีนคุณจางเฉิงเจี๋ยผู้อำนวยการด้านการตลาดต่างประเทศของTrip.com Group Limited ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่ของจีนให้ข้อมูลว่าหลังจากทำการศึกษาข้อมูลการให้บริการนักท่องเที่ยวผ่านแดนระยะสั้นของเมืองแวะเปลี่ยนเส้นทางบินที่มีชื่อเสียงต่างๆในโลกทำให้Trip.com เวอร์ชั่นนานาชาติตกลงใจตั้งบูธที่สนามบินผู่ตงในเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพื่อที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวฟรีแบบครึ่งวันให้แก่ผู้โดยสารรอต่อเครื่องซึ่งบริการเหล่านี้ก็จะประกอบด้วยบริการรับ- ส่งสนามบินฟรีบริการอินเตอร์เน็ตมือถือ24 ชั่วโมงบริการไกด์ภาษาต่างประเทศและเส้นทางท่องเที่ยวหลักอีกสามสายส่วนในมณฑลอื่นๆของจีนเช่นมณฑลอานฮุยนั้นก็ได้มีการจัดสรรและติดตั้งเครื่องรูดบัตรและตู้เอทีเอ็มสำหรับบัตรต่างประเทศรวมถึงจุดแลกเงินตราต่างประเทศอีกด้วย
นโยบายงดเว้นวีซ่า144 ชั่วโมงนั้นแท้จริงแล้วให้บริการมากว่าสิบปีแต่ที่จู่ๆก็โด่งดังไปทั่วโลกเห็นจะเป็นเพราะพลังแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งในและต่างประเทศนั่นเอง
KSquared บล็อกเกอร์ชื่อดังชาวแคนาดาได้เดินทางมาเยือนเซี่ยงไฮ้เขาพาแฟนๆไปเที่ยวทั้งในย่านการค้ารถไฟใต้ดินร้านกาแฟสตาร์บัคส์หรือแม้กระทั่งร้านทำผมแต่สิ่งที่ชาวเน็ตรู้สึกทึ่งไปตามๆกันก็คือเขาเดินทางมาเยี่ยมเยือนสถานที่จัดประชุมสมัชชาใหญ่แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่1 ด้วยท่าทีที่จริงจังมีการจดบันทึกการเดินทางอย่างละเอียดนอกจากนี้บล็อกเกอร์เจ้าของบล็อกJack Aynsley Travel ก็ยังโด่งดังขึ้นมาจากแฮชแท็กที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจีนเช่น“ทดลองดื่มเหล้ายามเย็นกับบรรดาลุงๆในตรอกหูท่งที่ปักกิ่ง” หรือ“นั่งรถไฟเขียวสามสิบสี่ชั่วโมงไปเยือนซินเจียง”
“เมื่อประเทศจีนเปิดฟรีวีซ่านั่นหมายความว่าหลายๆคนจะได้โอกาสมาเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศจีนพวกเขาจะได้สัมผัสประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับชาวจีนท้องถิ่นได้ลิ้มรสอาหารอร่อยๆนอกจากนี้ยังจะมีส่วนช่วยลบอคติในใจที่สั่งสมมานานหลายปีด้วยในประเทศตะวันตกคนจำนวนมากไม่ได้มองจีนในแง่ดีสักเท่าไหร่” เมื่อวันที่26 มิถุนายนที่ผ่านมาบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวชาวอังกฤษอย่างTaz and Libby ได้พูดเอาไว้ในคลิปสรุปคอนเทนต์ว่า“หลายปีที่ผ่านมาการเดินทางท่องเที่ยวสอนให้เรารู้ว่าต้องรู้จักทำใจให้เปิดกว้างต้องรู้จักตัวเองไม่ถูกจูงจมูกหรือล้างสมองโดยง่ายในโลกนี้ไม่มีที่ไหนสมบูรณ์แบบแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมองข้ามจุดอ่อนต่างๆเช่นกัน”
อีกตัวอย่างหนึ่งคุณLuke จากช่องTwo Mad Explorers ได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยโดยบอกว่าสื่อตะวันตกมักจะแปะป้ายว่าเมืองจีนนั้นไม่ปลอดภัยอย่างยิ่งต่อชาวต่างชาติแต่ประสบการณ์ลืมโทรศัพท์มือถือในร้านทำผมแห่งหนึ่งในเมืองฉงชิ่งกลับทำให้เขาประทับใจมาก“ผมลืมไว้ครึ่งชั่วโมงถึงกลับไปเอาและพบว่ามันยังวางอยู่ที่เดิมเลย”
“ผมมองว่าความสำเร็จสูงสุดในการเปลี่ยนแปลงนโยบายฟรีวีซ่าคือการดึงดูดนักทำคอนเทนต์จากประเทศต่างๆให้เข้ามานำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวประเทศจีนโดยอาศัยยอดเอ็นเกจเมนต์สูงลิ่วของตัวเองเป็นฐานซึ่งนั่นจะช่วยกระตุ้นให้คนอื่นๆอยากเดินทางมาเยือนจีนและทำให้จีนเองเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวให้กว้างขึ้น” เกาโย่วซือนักทำคอนเทนต์ชาวต่างประเทศที่ใช้ชีวิตในประเทศจีนให้ความเห็น
“การเดินทางมาจีนครั้งแรกเหมาะกับนโยบายฟรีวีซ่า144 ชั่วโมงเป็นอย่างมากแต่หากมีครั้งที่สองก็ค่อยใช้วีซ่าปกติ” มันอาจจะเป็นเหมือนที่โกจุนโฮพูดก็ได้ว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ได้ลองใช้บริการChina Travelดูครั้งหนึ่งแล้วก็อาจจะเริ่มรู้สึกคาดหวังถึงการมาเยือนจีนในครั้งต่อๆไป