โอเอซิสจากคนสิบห้าคน

2024-10-23 14:59:36

เมื่อปี2553 ภายในงานเลี้ยงฉลองจบการศึกษาบัณฑิต15 คนจากวิทยาลัยครูเป่าติ้งมณฑลเหอเป่ยได้รับช่อดอกไม้ปลอมสีสันสดใสกันคนละหนึ่งช่อต่อจากนี้พวกเขาจะต้องเดินทางไปสอนหนังสือที่อำเภอเฉี่ยม่อทางสุดปลายทางทิศใต้ของทะเลทรายทากลามากันในซินเจียง

24 ปีหลังจากนั้นตลาดต่างๆในอำเภอเฉี่ยม่อยังคงเต็มไปด้วยร้านขายดอกไม้ปลอมอำเภอเฉี่ยม่อตั้งอยู่ระหว่างทะเลทรายที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในจีนและเทือกเขาคุนหลุนด้วยความที่เฉี่ยม่อแสนกันดารและห่างไกลความเจริญการที่สิ่งใดๆไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคสิ่งของหรือชีวิตคนและสัตว์จะดำรงชีวิตที่นี่ก็คงต้องผ่านบททดสอบจากทะเลทรายเสียก่อน

เดือนกันยายนปีที่แล้วโหวเจาหรูอาจารย์ประจำโรงเรียนมัธยมหมายเลขหนึ่งแห่งอำเภอเฉี่ยม่อหนึ่งในบัณฑิตเมื่อครั้งกระโน้นเวลานี้เธอใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายมานาน24 ปีเธอได้รับช่อดอกไม้สดใสซึ่งส่งมาจากนักเรียนรุ่นแรกอำเภอเฉี่ยม่อมีนักเรียนที่ผลการเรียนธรรมดามากมายแต่คุณครูธรรมดาๆที่ยังคงปักหลักอยู่ที่นี่กลับล้ำค่ายิ่งกว่าดอกไม้สดกลางทะเลทรายเสียอีก

มีเพียงทะเลทรายเท่านั้นที่แห้งแล้งชีวิตคนหาเป็นเช่นนั้นไม่

ในปี2553 ต้วนจวินครูใหญ่โรงเรียนมัธยมเฉี่ยม่อเดินทางจากทะเลทรายเวิ้งว้างไปทั่วแผ่นดินจีนเพื่อตามหาครูให้เด็กๆ

ณมณฑลเหอเป่ยเขาได้พบนักศึกษากลุ่มหนึ่งจากวิทยาลัยครูเป่าติ้งหัวข้อการสอบสัมภาษณ์ในครั้งนั้นคือ“มาตรฐานแห่งทะเลทราย” ยกตัวอย่างเช่น“ที่บ้านมีลูกกี่คน” “มีแฟนหรือเปล่า” นักศึกษาผู้เข้าสอบสัมภาษณ์ต่างรู้สึกเซ็ง“คำถามพวกนี้เกี่ยวอะไรกับการเป็นครูเหรอ” ต่อมาพวกเขาถึงได้ทราบว่าในทะเลทรายนั้นคนเป็นครูก็ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ที่ต้องมีคุณสมบัติพร้อมพอที่จะดำรงชีพท่ามกลาง“ความแห้งแล้ง” ได้

เมื่อวันที่6 สิงหาคม2553 หนุ่มสาวทั้ง15 คนนั้นออกเดินทางโดยรถไฟไปยังจุดหมายปลายทาง

รถไฟเคลื่อนขบวนไปทางทิศตะวันตกความเขียวขจีนอกหน้าต่างลดน้อยถอยลงทุกวันอากาศแห้งขึ้นทุกขณะจนทุกคนกระหายน้ำตลอดเวลาพอเข้าสู่วันที่สามรถไฟก็เดินทางมาถึงคอร์ลาพวกเขาพักที่นั่นหนึ่งคืนแล้วเปลี่ยนไปโดยสารรถยนต์

เมื่อมาถึงทะเลทรายพวกเขาได้เห็นอูฐป่าหนึ่งตัวเผชิญพายุทรายไปหนึ่งหนแต่ทุกคนก็ยังตื่นเต้นรถยนต์แล่นไปในทะเลทรายหนึ่งวันเต็มสองฟากฝั่งคือทรายสีเหลืองเวิ้งว้างหลังจากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆมืดหม่นลงอย่างช้าๆเมื่อถึงจุดพักรถพวกเขาลงจากรถไปพักผ่อนมองเห็นคำขวัญข้างล่างที่เขียนเอาไว้ว่า“มีเพียงทะเลทรายเท่านั้นที่แห้งแล้งชีวิตคนหาเป็นเช่นนั้นไม่” ทันใดนั้นพวกเขาก็นิ่งเงียบ

ในที่สุดก็ใกล้ถึงเฉี่ยม่อความเขียวขจีเริ่มฟื้นคืนผู้คนบนรถก็เริ่มคึกขึ้นมาอีกครั้งอีเลียอุสมาน(เวลานี้ทำงานเป็นตำรวจในเมืองอุรุมชี) นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่1 ยืนแถวพร้อมเพื่อนๆอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อต้อนรับอาจารย์ใหม่กลุ่มนี้หลังผ่านการเดินทาง3,300 กิโลเมตรคนหนุ่มสาวจากป่าเขาลำเนาไพรก็ได้พบกับเยาวชนจากดินแดนทะเลทราย

กระบองเพชรก็ออกดอกเป็น

ชีวิตท่ามกลางการปกคลุมของฝุ่นทรายได้เริ่มต้นขึ้น

ครั้งแรกที่ต้องเผชิญกับพายุทรายหลี่กุ้ยจือสะดุ้งตื่นเพราะหายใจไม่ออกเธอลุกขึ้นมาปิดประตูหน้าต่างแล้วกลับไปนอนต่อเมื่อตื่นเช้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าใบหน้าและปากของเธอมีทรายเกาะอยู่เต็มไปหมดแม้แต่บนหมอนผ้าห่มหรือจานชามก็เปื้อนทราย... สรุปก็คือห้องของเธอเปรอะทรายไปทั่ว

เนื่องจากอากาศแห้งมากระหว่างเรียนเด็กชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็ลุกขึ้นมาหยิบกระดาษทิชชูยับย่นจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้แล้วพูดกับโหวเจาหรูว่า“คุณครูเลือดกำเดาไหลครับเช็ดหน่อยไหมครับ”

เด็กๆเหล่านี้มีพื้นฐานความรู้ค่อนข้างอ่อนแม้จะเรียนมัธยมแล้วแต่บางคนกลับยังผสมเสียงพินอินได้ไม่คล่องความเกเรของเด็กๆเริ่มแสดงออกมาให้เห็นเวลาเรียนหลายคนจะคุยเล่นกันโยนกระดาษใส่กันบางคนก็ไม่ส่งการบ้านแถมยังบอกหน้าตาเฉยว่า“ทำไม่เป็น” หรือบางคนก็ไม่มาเรียนเสียด้วยซ้ำ

แล้วต้องทำยังไงถึงจะเปลี่ยนแปลงสภาวะเช่นนี้ได้ช่วงบ่ายอันแสนกระสับกระส่ายวันหนึ่งหลี่กุ้ยจือเดินออกจากโรงเรียนมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำเชร์เชนต้นหญ้าสองข้างทางดูดำทะมึนซ้ำยังรกเรื้อ“ทำไมหญ้าในเฉี่ยม่อหน้าตาแบบนี้นะ” เธอยืนอยู่ริมถนนนึกถึงภารโรงที่คอยรดน้ำและตัดแต่งดอกไม้ใบหญ้าในโรงเรียนทันใดนั้นเธอก็เข้าใจ“หญ้าพวกนี้ต้องคอยตัดแต่งถ้านักเรียนรู้ทุกอย่างดีอยู่แล้วจะต้องการครูไปทำไม” หลี่กุ้ยจือก้าวเดินช้าๆกลับไปที่โรงเรียนหลังจากนั้นเธอจึงตระหนักว่ากระบองเพชรก็ออกดอกเป็นเช่นกัน

สร้างเด็กให้เติบโตมาเป็นผู้ใช้แรงงานธรรมดาๆ

จากปากคำของคุณครูเหล่านั้นระยะเวลา20 กว่าปีมานี้สิ่งที่พวกเขาทำคือการสร้างเด็กๆให้เติบโตมาเป็น“ผู้ใช้แรงงานธรรมดาๆ” เท่านั้นพวกครูมีหน้าที่อบรมให้นักเรียนให้มีจิตใจดีสามารถเลี้ยงชีพชอบได้ด้วยสองมือ... อำเภอเฉี่ยม่อก็ก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาในลักษณะนี้เอง

เมื่อเจิ้งหว่านจวินเรียนจบมหาวิทยาลัยเธอทิ้งโอกาสการเป็นครูในเมืองคอร์ลาแต่เลือกที่จะกลับไปสอนหนังสือในโรงเรียนมัธยมต้นในอำเภอเฉี่ยม่อในโรงเรียนมีเด็กเกเรอยู่คนหนึ่งชื่อว่าอ้ายจือครูประจำชั้นพูดกับเจิ้งหว่านจวินว่า“เวลาที่อ้ายจือหายไปฉันมาตามที่ห้องทำงานของเธอก็จะเจอเพราะเขามักจะมาเรียนกับเธอที่นี่เธอกำราบเด็กคนนี้ได้ยังไง”

“ฉันก็แค่ชมเขาเองค่ะ” เจิ้งหว่านจวินตอบเธอทำแบบนี้เหมือนกับที่จิ่งฮุ่ยฟางครูของเธอเคยทำเมื่อก่อนนี้

สมัยเด็กเจิ้งหว่านจวินเคยเป็นโรคเนื้องอกในสมองเมื่อผ่าตัดเรียบร้อยเธอกลับไปเรียนหนังสือตามปกติแต่ก็พบว่าตนสอบคณิตศาสตร์ได้เพียง6 คะแนนจนพ่อคิดว่าจะให้เธอเลิกเรียนแต่ครูจิ่งฮุ่ยฟางก็ยังรั้งเธอเอาไว้พูดกับเธอว่า“หนูจะไม่เขียนการบ้านก็ได้แต่หนูต้องมานั่งเรียนไม่ต้องคิดอะไรมากแค่ฟังที่สอนก็พอ” ท้ายที่สุดเจิ้งหว่านจวินก็สอบติดมหาวิทยาลัยครูอีลี่

ครูผังเซิ่งลี่กล่าวว่า“การศึกษาคือการสร้างความมั่นใจอย่างต่อเนื่อง” เพื่อสร้าง“นักเรียนธรรมดาๆ” พวกนี้ขึ้นมาให้เติบโตครูอาจารย์ต่างยินดีที่จะทำงานสอนที่แสนจะธรรมดาพวกเขาอธิบายประเด็นความรู้พื้นๆซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบคอยพร่ำสอนเกี่ยวกับสัจธรรมชีวิตนักเรียนที่สอบติดโรงเรียนดังมีเพียงนับนิ้วได้แต่รายละเอียดการเรียนการสอนเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไม่สามารถที่จะวัดได้ด้วยคะแนนหรือผลการประเมินใดๆผังเซิ่งลี่เชื่อว่า“ผลลัพธ์แห่งการศึกษาต้องรอผ่านไปสิบยี่สิบปีจึงจะเห็นผล” ต้นไม้ในทะเลทรายอาจจะแคระแกร็นเพื่อหยั่งรากให้แน่นหนาพวกมันทุ่มเทสารอาหารทั้งหมดลงไปยังระบบรากใครบางคนเปรียบเปรยถึงคุณูปการของคุณครูกลุ่มนี้ว่าพวกเขาคือ“15 เมล็ดพันธุ์ที่พัดมาถึงเฉี่ยม่อ” เมล็ดพันธุ์ทั้งสิบห้านั้นทำให้ดอกไม้เบ่งบานบนผืนทรายเวิ้งว้าง

โอเอซิสจากคนสิบห้าคน