จอมยุทธ์หญิงแห่งสำนักง้อไบ๊

2024-08-01 17:08:54

เคยนึกว่าสิ่งที่เรียกว่า“สำนัก” จะมีแต่เฉพาะใน“นิยายกำลังภายใน”  ซึ่งเป็นดินแดนยุทธภพที่นักเขียนรังสรรค์ขึ้นไม่นึกเลยว่าคลิปวิดีโอที่เป็นกระแสในช่วงนี้จะพลิกความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักง้อไบ๊ของหลายคนไปโดยสิ้นเชิง“หลิงหยุน” ศิษย์พี่หญิงของคณะกังฟูหญิงแห่งสำนักง้อไบ๊ผู้ซึ่งเกิดหลังปี1995 เป็นผู้นำทีมศิษย์น้องหญิงจำนวน8 คนทุกคนสวมชุดคลุมยาวสีเขียวครามพริ้วไหวชั่ววินาทีหนึ่งพวกเธอกำลังทะยานอยู่บนอากาศแต่อีกชั่ววินาทีหนึ่งก็ร่อนลงพื้นอย่างแผ่วเบาเมื่อทรงตัวเรียบร้อยแล้วดาบที่ปลายฝ่ามือก็แทงออกมาดุจสายฟ้าราวกับจอมยุทธ์หญิงในภาพยนตร์กำลังภายในได้ปรากฏกายขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิงหยุนโด่งดังบนโลกอินเตอร์เน็ตเพราะศิลปะการต่อสู้ของสำนักง้อไบ๊จอมยุทธ์หญิงแห่งสำนักง้อไบ๊ที่ครองยอดวิวในสื่อยุคปัจจุบันมองเสน่ห์ของศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมอย่างไร

เริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่อายุ4 ขวบเดินทางลำพังเมื่ออายุ10 ขวบ

หลิงหยุนยื่นมือของเธอออกมาเป็นมือคู่ใหญ่ที่มีนิ้วเรียวยาวข้อต่อกระดูกหนาแข็งแรงคนที่เคยอ่านนิยายกำลังภายในจะพูดออกมาทันทีว่า“แค่ดูก็รู้ว่าเป็นมือของคนที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มานานหลายปี”

ตั้งแต่เด็กคุณปู่จะพาหลิงหยุนไปสวนสาธารณะตอนที่พวกผู้สูงอายุฝึกไทเก็กเธอก็ฝึกตามอยู่ข้างๆไปด้วยเธอเรียนรู้ได้ดีคุณปู่มองออกว่าหลิงหยุนมีความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวจึงหารือกับคุณพ่อคุณแม่ของเธอเพื่อส่งเธอไปเรียนศิลปะการต่อสู้ที่วังเยาวชน(Children’s Palace) แรกเริ่มหลิงหยุนไม่ชอบเรียนศิลปะการต่อสู้เพราะคิดว่าไม่เหมือนกับชั้นเรียนตามความสนใจอื่นที่มีเด็กๆหลายคนแต่คุณปู่บอกเธอว่า“เพราะเส้นทางนี้คนน้อยหลานจึงควรเดินไปในเส้นทางนี้”

ส่วนที่ทำให้เธอเริ่มชื่นชอบศิลปะการต่อสู้จริงๆคืออีก4 ปีต่อมาในช่วงเวลาที่เธอได้รับรางวัลจากการแข่งขันเมื่อได้เหรียญรางวัลผู้คนต่างจับจ้องมาที่เธอทุกคนต่างล้อมรอบเธอแทบทุกคนย่อมปรารถนาช่วงเวลาเช่นนี้ในชีวิตยิ่งสำหรับเด็กอายุ8 ขวบแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ครอบครัวสนับสนุนความคิดของหลิงหยุนโดยการส่งเธอไปเรียนที่โรงเรียนศิลปะการต่อสู้พระใหญ่ที่เล่อซานมณฑลเสฉวนเพื่อจะได้เรียนศิลปะการต่อสู้สำนักง้อไบ๊อย่างเป็นระบบหลิงหยุนวัย10 ขวบลากกระเป๋าเดินทางไปยังเมืองที่ไม่คุ้นเคยเพียงลำพังเธอไม่ได้ร้องไห้โวยวายถึงแม้จะต้อง“โดนชก” ในโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกวันหลิงหยุนก็ยังคงเข้มแข็งและสงบนิ่งจนกระทั่งคุณแม่ไปเล่อซานเพื่อฉลองวันเกิดให้เธอ“พอเห็นคุณแม่ฉันก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่เหมือนความรู้สึกคับข้องใจทั้งหมดถาโถมเข้ามา” แต่หากต้องการฝึกฝนทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงความอดทนต่อความยากลำบากเป็นสิ่งจำเป็น

ขึ้นลงภูเขามหาสมุทรโอบรับแม่น้ำร้อยสาย

ประสบการณ์การฝึกทักษะศิลปะการต่อสู้ที่โรงเรียนศิลปะการต่อสู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นหลิงหยุนไม่ได้รู้สึกว่าลำบากมากมายนักแต่กลับรู้สึกเบิกบานเป็นความเบิกบานที่ได้จากการทุ่มเทอย่างเต็มที่โรงเรียนศิลปะการต่อสู้ไม่เพียงแต่เสริมสร้างให้เธอมีร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่เข้มแข็งทำให้เธอได้เรียนรู้พื้นฐานศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมอย่างเป็นระบบแต่ยังฝึกฝนให้เธออดทนไม่ย่อท้อจากนั้นเป็นต้นมาเธอก็สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ทุกรูปแบบ

เมื่อเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดทางร่างกายสิ่งที่ทำให้หลิงหยุนทุกข์ใจจริงๆนั้นมาจากภายในจิตใจของเธอทักษะการต่อสู้ของเธอพัฒนาอย่างก้าวกระโดดแต่จุดสิ้นสุดของการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อยู่ที่ใดในอนาคตทิศทางชีวิตของตัวเธอเองจะเป็นเช่นไรหลิงหยุนหาคำตอบจากหนังสือเธอสอบเข้าสาขาการออกแบบท่าเต้นวิทยาลัยสื่อสารมวลชนเสฉวนศึกษาจังหวะของการเต้นรำเธอได้พบปะผู้คนมากขึ้นและได้รู้จักกับเพื่อนๆจำนวนหนึ่งซึ่งภายหลังได้ร่วมกันสร้างธุรกิจขึ้นมาพวกเธอถ่ายวิดีโอเพื่อนำเสนอศิลปะการต่อสู้ระหว่างขั้นตอนนี้หลิงหยุนค่อยๆเกิดความคิดที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมให้แก่ผู้คนจำนวนมากขึ้น

ง้อไบ๊เป็นสำนักศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงของจีนศิลปะการต่อสู้ของสำนักง้อไบ๊แพร่หลายไปทั่วทั้งมณฑลเสฉวนจนแม้แต่บริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนคนเก่งแห่งสำนักง้อไบ๊ทยอยปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่องทีละรุ่นๆหลิงหยุนได้กราบเป็นศิษย์อาจารย์เหรินกังผู้เป็นประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้ประจำมณฑลเสฉวนและผู้สืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของศิลปะการต่อสู้สำนักง้อไบ๊จากนั้นเป็นต้นมาการตระหนักรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ของหลิงหยุนก็ยกระดับขึ้นอีกขั้นเธอเปรียบศิลปะการต่อสู้ของสำนักง้อไบ๊ว่าเสมือนกับภูมิประเทศและวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษย์ที่หลากหลายของเสฉวนบ้านเกิดของตน“ทั้งมีที่ราบจึงง่ายต่อการแสดงกระบวนท่าที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังและยังมีเทือกเขาสูงชันและเนินเขาใหญ่ซึ่งบ่มเพาะความกระจิริดคล่องแคล่วว่องไวหากจะใช้คำๆหนึ่งอธิบายฉันคิดว่าคือมหาสมุทรที่โอบรับแม่น้ำร้อยสาย” เช่นเดียวกับยอดเขาง้อไบ๊ที่แสงอาทิตย์ยามเช้าจะส่องทะลุเมฆหมอกให้แยกออกจากกันความสับสนที่เคยมีในใจของหลิงหยุนก็ค่อยจางหายไปยามที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในแต่ละวันเธอได้ค้นพบทางชีวิตของเธอแล้วนั่นคือการทำหน้าที่สืบทอดศิลปะการต่อสู้อยู่ที่ง้อไบ๊ให้ดีและเผยแพร่ออกไปด้วย

สรรพสัตว์ก็คือยุทธภพ

สำหรับการที่เธอโด่งดังในโลกออนไลน์หลิงหยุนสรุปว่าเพราะ“โชคดี” “จุดสำคัญคือกิมย้งนักเขียนปรมาจารย์ได้เขียนบรรยายบทบาทตัวละครหญิงแห่งสำนักง้อไบ๊ไว้อย่างโดดเด่นบวกกับผู้คนในสังคมมีทัศนคติที่เป็นภาพเหมารวม(stereotype) ต่อผู้หญิงบางประการดังนั้นภาพที่หญิงสาวหวัดแกว่งกระบี่และตีลังกากลางอากาศจึงขัดแย้งต่อความรับรู้เดิมของผู้คนอย่างมากทำให้กลายเป็นหัวข้อที่โด่งดังเป็นพลุแตก” หลิงหยุนจับสัญญาณกระแสตอบรับ“มโนภาพจอมยุทธ์หญิง” บนแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นออนไลน์ได้อย่างชาญฉลาดเธอใช้ผลงานชุด“ยุทธจักรง้อไบ๊” ผลักดันศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมของสำนักง้อไบ๊ออกสู่แวดวงภายนอกบางครั้งเธอก็ถ่ายทำการเล่นหมากรุกหรือถกเถียงปัญหากับศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เป็นชายนอกจากนั้นยังร่วมสร้างสรรค์ผลงานกับบล็อกเกอร์ในแวดวงอื่นๆด้วยหลิงหยุนกำลังทดลองนำเสน่ห์ของศิลปะการต่อสู้เผยแพร่ข้ามพรมแดนทำให้ออกสู่นอกวงการ

หลังจากโด่งดังแล้วหลิงหยุนยังคงติดดินเช่นเดิมเธอถ่ายทอดสดผ่านวิดีโอพูดคุยกับชาวเน็ตบนภูเขาง้อไบ๊เธอเล่าถึงต้นกำเนิดสำนักและกระบวนท่าของศิลปะการต่อสู้ของสำนักง้อไบ๊ตอบคำถามต่างๆของชาวเน็ตถ้าคุยแล้วอารมณ์ดีเธอก็จะโชว์ลีลาศิลปะการต่อสู้อีกด้วยหลิงหยุนได้นำศิลปะการต่อสู้ออกแสดงโดยเข้ามาผสานกับฉากในชีวิตประจำวันต่างๆดูผิวเผินเหมือนเป็นการเผยแพร่กระบวนท่าและลักษณะอาวุธของสำนักง้อไบ๊แต่แท้จริงแล้วเธอได้แสดงถึงท่วงท่าลักษณะของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ในชีวิตมากกว่า

เมื่อถูกถามถึงอินเตอร์เน็ตและภูเขาง้อไบ๊ด้านหนึ่งคือกฎเกณฑ์ของเกมอุตสาหกรรมอีกด้านหนึ่งคือระบบคุณค่าของจอมยุทธ์แห่งศิลปะการต่อสู้หลิงหยุนสามารถรักษาความสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ได้หรือไม่เธอกล่าวว่าการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆจำเป็นต้องปฏิบัติตามและทำความคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ของโลกใหม่  ในขณะเดียวกันก็สามารถเปิดโลกใบน้อยของตนเองภายใต้กฎเกณฑ์ใหญ่ได้

จอมยุทธ์หญิงแห่งสำนักง้อไบ๊