ต้นไหมเปอร์เซีย

2024-07-10 16:41:59

สือเถี่ยเซิง(4 มกราคมพ.ศ. 2494 ถึง31 ธันวาคมพ.ศ. 2553) นักประพันธ์นักเขียนปกิณกะนักเขียนร่วมสมัยชาวจีนต้นไหมเปอร์เซียเป็นปกิณกนิพนธ์เกี่ยวกับความรักของมารดาซึ่งเขียนโดยสือเถี่ยเซิงความเรียงนี้ใช้สำนวนพื้นๆบอกเล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อแม่ซึ่งถูกเก็บงำไว้ในใจทำให้ตัวเองรู้สึกโศกเศร้าและรู้สึกผิดความเรียงนี้ได้รับคัดเลือกเป็นบทอ่านในหนังสือแบบเรียนทัศนากวีนิพนธ์และปกิณกนิพนธ์จีนสมัยใหม่สำหรับโรงเรียนมัธยมปลายทั่วไปในประเทศจีน

เราย้ายบ้านหลังจากที่แม่เสียชีวิตผมจึงไม่ค่อยกลับไปบ้านหลังน้อยที่แม่ของผมเคยอาศัยอยู่... พวกป้าป้าที่บ้านเดิมยังคงมองผมเหมือนลูกหลานพวกเขาไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ผมไม่มีแม่แล้วได้แต่พูดคุยสัพเพเหระตำหนิผมว่าไม่ค่อยกลับไปเยี่ยมเยือนมีอยู่ปีหนึ่งมีคนพูดถึงแม่ของผม“ไปดูที่ลานบ้านสิปีนี้ต้นไหมเปอร์เซีย(ต้นทิ้งถ่อน) ที่แม่เธอปลูกไว้บานสะพรั่งแล้ว” ผมรู้สึกสะดุดใจเล็กน้อยแต่ก็อ้างว่าติดที่วีลแชร์เข้าออกไม่สะดวกทุกคนจึงไม่พูดถึงอีกหันไปคุยเรื่องอื่นแทนพวกเขาบอกว่าบ้านที่เราเคยอยู่ตอนนี้มีคู่หนุ่มสาวสามีภรรยาย้ายเข้ามาอาศัยแทนภรรยาสาวเพิ่งคลอดลูกเด็กน้อยไม่ร้องไห้โยเยลืมตาแป๋วมองเงาไม้ตรงหน้าต่าง

ผมคิดไม่ถึงว่าต้นไม้นั้นยังมีชีวิตอยู่ปีนั้นแม่ไปที่สำนักงานแรงงานเพื่อหางานให้ผมขากลับได้ขุด“ไมยราบ”ข้างทางที่เพิ่งงอกต้นหนึ่งกลับมาด้วยแม่นึกว่าเป็นไมยราบจึงปลูกไว้ในกระถางต้นไม้แต่กลับเป็นต้นไหมเปอร์เซียปกติแม่เป็นคนชื่นชอบของพวกนั้นแต่ตอนนั้นมัวแต่ทุ่มเทใจไปที่อื่นปีถัดมาต้นไหมเปอร์เซียไม่แตกหน่อแม่ถอนหายใจอยู่พักหนึ่งแต่ยังไม่อยากทิ้งมันไปจึงปล่อยมันอยู่ในกระถางต้นไม้เช่นนั้นในปีที่สามต้นไหมเปอร์เซียผลิใบเขียวชอุ่มเจริญงอกงามแม่ดีใจอยู่หลายวันเชื่อว่าเป็นสัญญาณที่ดีจึงหมั่นประคบประหงมดูแลไม่กล้าละเลยอีกหนึ่งปีต่อมาแม่ย้ายต้นไหมเปอร์เซียออกจากกระถางแล้วปลูกลงดินตรงข้างหน้าต่างบางครั้งก็บ่นพึมพำว่าต้นไม้แบบนี้ไม่รู้ต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะผลิดอกบานสะพรั่งผ่านไปอีกหนึ่งปีเราย้ายบ้านแล้วเพราะความโศกเศร้าทำให้เราลืมต้นไม้ต้นเล็กๆนั้นไปเลย

ผมคิดว่ากลับไปดูไม้ต้นนั้นเถอะผมอยากไปดูห้องที่แม่เคยอาศัยอยู่อีกครั้งผมจำได้เสมอว่าที่นั่นยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งที่เพิ่งลืมตามองโลกไม่ร้องไห้โยเยได้แต่จ้องมองดูเงาไม้นั้นจะใช่เงาไม้ของต้นไหมเปอร์เซียต้นนั้นหรือไม่นะแต่ที่ลานบ้านก็มีเพียงต้นไม้ต้นนั้น

บรรดาป้าป้าที่บ้านหลังนั้นยังคงต้อนรับขับสู้ผมถามไถ่เกี่ยวกับขาของผมด้วยถามผมว่ามีอาชีพการงานที่มั่นคงหรือยังครั้งนี้แม้อยากจะโยกวีลแชร์เข้าไปในลานบ้านก็ทำไม่ได้แล้วเพราะห้องครัวที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของบ้านทุกหลังถูกขยายกว้างขึ้นเหลือแค่ทางเดินแคบๆที่แม้แต่คนที่เข็นจักรยานเข้าออกยังต้องเบี่ยงตัวไปด้านข้างผมถามถึงต้นไหมเปอร์เซียทุกคนกล่าวว่าดอกไม้บานทุกปี จนต้นสูงเท่าตัวบ้านแล้ว ผมนึกเสียใจที่สองปีก่อนไม่ได้โยกรถวีลแชร์เข้าไปดู

ผมคิดว่าสักวันหนึ่งที่เด็กน้อยคนนั้นโตขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กคงนึกถึงเงาไม้ไหวของต้นไม้นั้นคงนึกแม่ของตัวเองและคงวิ่งไปดูต้นไม้นั้นแต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนปลูกต้นไม้นั้นและปลูกมันอย่างไร

ต้นไหมเปอร์เซีย