หวนอ่านผลงานของสือ เถี่ยเซิง

2024-07-10 16:39:43

ก่อนที่จะถึงวันหนังสือโลกในปีนี้หัวข้อ“ทำไมคนหนุ่มสาวจึงหันกลับมาอ่านหนังสือของสือเถี่ยเซิงอีกครั้ง”ได้รับความสนใจอย่างมาก

สือเถี่ยเซิงนักเขียนชาวจีนซึ่งในอดีตเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากผลงานของเขาในหนังสือแบบเรียนจีนปัจจุบันเขากำลังกลายเป็น“ดาราหน้าใหม่” ในโลกอินเตอร์เน็ตแล้วเพราะเหตุใดผลงานของเขาจึงเป็นอมตะและสร้างความประทับใจให้แก่คนรุ่นใหม่ในยุคนี้ได้ในโลกออนไลน์มีคำตอบแบบนี้“เมื่อคุณโชคดีให้ไปเปิดอ่านหนังสือของสือเถี่ยเซิงและทำจิตใจให้สงบเพื่อสัมผัสประสบการณ์การเดินทางของชีวิตที่มีทั้งทุกข์และสุข” เขาพูดถึงตนเองว่า“อาชีพของผมคือการเจ็บป่วยและงานอดิเรกก็คือการเขียน” เขาเป็นอัมพาตต้องนั่งรถเข็นเมื่ออายุ21 ปีต่อมาเมื่ออายุ30 ปีก็ป่วยด้วยโรคไตเกิดภาวะไตบกพร่องเมื่ออายุ47 ปีและอาศัยการฟอกไตทำให้มีชีวิตอยู่ได้ถึงอายุ59 ปีเมื่อคุณโชคร้ายลองอ่านหนังสือของเขาและรับรู้ว่าเขาใช้การมองโลกในแง่ดีเป็นโล่กำบังไม่ปล่อยให้ชะตากรรมครอบงำชีวิตเราสือเถี่ยเซิงได้นำความยากลำบากในชีวิตการตื่นรู้และการเปิดใจกว้างแยกออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยและใส่เข้าไปในนวนิยายความเรียงและบทกวีแต่ละเรื่องของเขา

“หวนอ่านผลงานของสือเถี่ยเซิง”  สิ่งที่ผู้คนค้นหาคือช่วงชีวิตที่ถูกสลักเสลาด้วยกาลเวลา

อ่านผลงานคลาสสิกอีกครั้งเพื่อเข้าใจชีวิต

ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อสือเถี่ยเซิงโดยมากก็จะเป็นเรื่องที่ว่าเขาเป็น“คนพิการที่มีจิตใจเข้มแข็ง” หรือไม่ก็มี“แม่ที่รักเขา” ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องผิวเผินแต่อันที่จริงก่อนที่เขาจะเป็นอัมพาตชีวิตของสือเถี่ยเซิงในวัยเด็กก็เหมือนกับหลายๆคนเขามักจะเล่นฟุตบอลและเล่นกับเด็กๆที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันหลังจากเป็นอัมพาตเขาก็เคยกล่าวโทษความไม่ยุติธรรมของโชคชะตา  และนิสัยของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากในที่สุดเขาก็พบ“ทางออก” ในงานวรรณกรรมและได้ใช้ปลายปากกาเขียนความหวังขึ้นมาท่ามกลางความสิ้นหวัง

ความตระหนักรู้เกี่ยวกับชีวิตของเขาสกัดรวมอยู่ในผลงานเขียนแต่ละเล่มเขาเขียนเกี่ยวกับตนเองในผลงานเรื่องข้าพเจ้ากับหอบูชาปฐพี“เขาถูกโชคชะตาจู่โจมจนสมองมึนงงและคิดเสมอว่าตนเองเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก” ต่อมาเขาก็คิดได้ว่า“ความตายคือสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเร่งรัดให้เกิดขึ้นความตายเป็นสิ่งที่ต้องมาถึงอย่างแน่นอน” ในที่สุดเขาก็พบคำตอบเขาเขียนไว้ในงานเขียนเรื่องบันทึกระหว่างป่วย  (Jottings in Sickbed) ว่า“เดิมทีชีวิตไม่มีความหมาย‘ฉัน’ นี่แหละที่ทำให้ชีวิตมีความหมายขึ้นมา”

ในผลงานเขียนของเขาความรักจากครอบครัวนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอยู่ในใจเสมอวรรณกรรมช่วยเปิดหน้าต่างให้สือเถี่ยเซิงส่วนแม่ของเขานั้นเป็นผู้ที่ช่วยเปิดประตูให้แก่เขาหลังจากอยู่เคียงข้างสือเถี่ยเซิงซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นมาเป็นเวลา7 ปีแม่ของเขาก็สนับสนุนให้เขาออกไปข้างนอกด้วยความอ่อนโยนและแน่วแน่  เขารู้ซึ้งถึงความรักของแม่ในงานเขียนเรื่องข้าพเจ้ากับหอบูชาปฐพีเขาได้เขียนไว้ว่า“เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมตระหนักว่าในสวนแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีรอยล้อรถของผมทั่วทุกแห่งเท่านั้นแต่ทุกที่ที่เคยมีรอยล้อรถของผมก็ยังมีรอยเท้าของแม่ผมด้วย”

สือเถี่ยเซิงได้ใช้ประสบการณ์ของเขาเองบอกกับเราว่าชีวิตสามารถรักษาเยียวยาผู้ที่ยินดีจะรักษาตนเอง

ชีวิตที่เปิดใจกว้าง

อี๋ว์หัวนักเขียนชาวจีนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของสือเถี่ยเซิงเคยเล่าเรื่องที่“ให้สือเถี่ยเซิงเป็นผู้รักษาประตู” อี๋ว์หัว“ยืมตัว”  สือเถี่ยเซิงจากแม่ของเขาแล้วช่วยกันกับเพื่อนอีกสองคนแบกเขาขึ้นรถไฟไปที่เมืองเสิ่นหยางเพื่อบรรยายให้แก่นักเรียนหลังเลิกชั้นเรียนเขาได้ถือโอกาสร่วมแข่งขันฟุตบอลนัดหนึ่งในโรงเรียน

เมื่อเห็นว่ากำลังจะพ่ายแพ้อี๋ว์หัวก็พูดขึ้นมาว่า  “เถี่ยเซิงหน้าที่สำคัญในการรักษาประตูยกให้นายเป็นคนทำ” และยังบอกกับนักเรียนด้วยว่า“ถ้าพวกคุณเตะไปโดนสือเถี่ยเซิงเขาอาจตายได้” หลังจากนั้นประตูฟุตบอลก็ไม่ถูกรุกล้ำอีกเลยส่วนอี๋ว์หัวและคนอื่นๆก็บุกโจมตีประตูฟุตบอลของคู่ต่อสู้อย่างดุเดือด... เรื่องราวนี้ทำให้ผู้คนพูดถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างคนทั้งสองและยังได้เห็นการมองโลกในแง่ดีและการเปิดใจกว้างของสือเถี่ยเซิง

เมื่อผู้คนตีความสิ่งนี้ด้วยประสบการณ์ของตนเองมากขึ้นพวกเขาก็พบว่าชีวิตอันแสนลำบากของสือเถี่ยเซิงกลายเป็น“สิ่งเยียวยาปลอบใจ” ให้คนหนุ่มสาวได้ระลึกรู้ตนเองเช่นกันการมองโลกในแง่ดีของสือเถี่ยเซิงที่ถูกฝึกฝนมาจากความยากลำบากเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวชาวเน็ตบางคนกล่าวว่า“ฉันอ่านแล้วได้แนวคิดเรื่องการเปิดใจให้กว้างหลังจากชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์แสนสาหัสนั่นเป็นประสบการณ์ของสือเถี่ยเซิง

ฉันเองก็อยากลองสู้สักตั้งเหมือนกัน” 

เมื่อผลงานคลาสสิกถูกพบเห็นมากขึ้น

ในช่วงหลายปีมานี้นักวรรณกรรมที่สำคัญของจีนเช่นหลู่ซวิ่นอี๋ว์หัวม่อเหยียนและสือเถี่ยเซิง  ค่อยๆมีแฟนคลับเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวพวกเขาและหนังสือของพวกเขาต่างก็ดังไปคนละแบบในด้านหนึ่งความทุกข์ยากในการดำรงชีวิตเป็นประเด็นสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานของพวกเขาคนหนุ่มสาวที่เคยประสบกับความสับสนความสิ้นหวังและความขุ่นข้องหมองใจได้พบกับงานเขียนที่สะท้อนถึงอารมณ์และจิตวิญญาณซึ่งตนเองมีความรู้สึกร่วม  ในอีกด้านหนึ่งตัวนักเขียนเองก็มีบุคลิกที่ยืดหยุ่นสมดุลจริงใจและน่าสนใจจึงกลายเป็นไอดอลทางจิตวิญญาณของคนหนุ่มสาวจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้วรรณกรรมคลาสสิกที่มีชื่อเสียงจำนวนมากได้เข้ามาสู่สายตาของสาธารณชนโดยอาศัยการไลฟ์สดและคลิปวิดีโอขนาดสั้นซึ่งกระตุ้นความสนใจและความรักในการอ่านของผู้คนมากขึ้น

ยกตัวอย่างนิยายวิทยาศาสตร์ผลงานชิ้นเอกเรื่องมหาศึกแห่งดูน(Dune) เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนาจึงค่อนข้างอ่านยากมีบล็อกเกอร์ออนไลน์รายหนึ่งได้ใช้แอนิเมชั่น35 ตอนพร้อมทั้งคำบรรยาย20,000 ตัวอักษรนำผลงานเขียน6 เล่มมาแยกอธิบายรายละเอียดและยังเสริมเพิ่มเติมด้วยสารานุกรมเรื่องดูน(The Dune Encyclopedia) จึงทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นได้สัมผัสถึงเสน่ห์ของผลงานคลาสสิกชุดนี้  อัลบั้มรวมคลิปวิดีโอTikTok ชุดนี้มีผู้เข้าชม11.904 ล้านครั้งและทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากที่ติดตามการอัปเดตคลิปต่างประหลาดใจว่า“ตนเองหายจากอาการกลัวผลงานเขียนที่มีชื่อเสียงได้แล้ว” 

บนแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นออนไลน์ในปีที่ผ่านมาคลิปวิดีโอการอ่านหนังสือที่มีความยาวมากกว่า5 นาทีมีจำนวนมากถึง11.4343 ล้านคลิปโดยมีการเก็บเป็นคอลเลกชัน391 ล้านคอลเลกชันมีการไลฟ์สดอ่านหนังสือทั้งหมด7.3 ล้านครั้งโดยมีผู้ชมไลฟ์สดเฉลี่ย3,076 คนต่อครั้ง

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าในยุคแห่งคลิปวิดีโอสั้นผู้คนยังคงรักการอ่านแต่การอ่านไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิงรูปแบบหนึ่งเท่านั้นแต่ยังเป็นรูปแบบ

หนึ่งของการสำรวจตนเองและการเติบโตอีกด้วยหวังว่าทุกคนจะได้รับการเติมเต็มมากขึ้นจากการอ่านอีกทั้งได้พบตัวตนที่แท้จริงในหนังสือและได้เริ่มต้นการเดินทางแห่งจิตวิญญาณอันงดงาม

หวนอ่านผลงานของสือ เถี่ยเซิง